So call me "SUPERSTAR"
จะทำอย่างไร เมื่อชีวิตของตำรวจกองปราบ "นัท" ต้องมาจ๊ะเอ๋กับซุเปอร์สตาร์ขี้วิตกอย่าง "ซิน" ความปลอดภัยในชีวิตของนักร้องหนุ่มผมยาวหน้าสวย คือภารกิจใหม่ของนายตำรวจผู้นี้ ...
ผู้เข้าชมรวม
112
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
"นี่สรุป... นายไม่รู้จักเรา?"
ร่างบางทวนคำเสียงสูง มือขาวสะบัดเกลี่ยปอยผมที่หล่นลงมาปรกแว่นกันแดดสีชาด้วยอาการเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
"เชื่อเขาเลย นี่ไปมุดหัวอยู่ไหนมาฮึคุณตำรวจ ที่แฟลตไม่มีทีวีรึไง?"
"มี แต่ผมไม่ดู ใครจะบ้าดารานักร้องอย่างคุณก็เอาเถอะ แต่ผมเป็นตำรวจ ไม่ใช่ผู้จัดการดาราไม่มีหน้าที่ต้องจำว่าคนนั้นใครคนนี้ใคร"
"ตาย... ตาย..."
นักร้องหนุ่มหน้าสวยอุทานพลางใช้สองนิ้วคีบแว่นกันแดดออกจากดั้งจมูกและนำไปคาดไว้บนผม จากนั้นจึงยกยิ้มสวยที่นายตำรวจโชติวุฒิลงความเห็นอย่างไม่อคติสักนิดว่าเป็นรอยยิ้มของเทพบุตรในคราบนางฟ้าที่ยียวนที่สุดในโลก!
"งั้นจำหน้าเราไว้ด้วยนะ... คุณสารวัตร เราคงจะได้เจอกันอีกเร็วๆ นี้..."
ว่าแล้วก็หยิบเศษกระดาษในกระเป๋าเสื้อมาเซ็นหวัดๆ ก่อนจะส่งให้คนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม
"ทริณ?"
คิ้วเรียวๆ ขมวดมุ่น "...ถึงจะเขียนแบบนี้ก็เถอะ อ่านว่าซินสิ ไม่เคยเรียนภาษาไทยเหรอ"
"คุณ... ซิน?"
"อืม จำให้แม่นเลยนะ ...ซิน"
นายตำรวจชั้นพันตรีมองเศษกระดาษในมือที่มีลายเซ็นของ 'นักร้องดัง' ที่ตนไม่รู้จักวาดหวัดเต็มแผ่น
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เจ้าของร่างบางๆ กับเสื้อผ้าราคาแพงและผ้าพันคอพะรุงพะรังนั้นก็เดินตัวปลิวหายกลับเข้าไปในรถตู้ติดฟิล์มเสียแล้ว...
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ถนนรัชดา...
ใครจะเชื่อว่าการตื่นเช้ากว่าปกติเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง จะพลิกโฉมสภาพการจราจรของถนนเส้นหนึ่งไปแบบหน้ามือกับหลังมือ จากสภาพจราจรที่ไม่ผิดอะไรกับปลากระป๋อง เช้าวันนี้กลับกลายเป็นกระป๋องเปล่าๆ ไปเสียได้ นายตำรวจหนุ่มยิ้มย่องพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา อารมณ์ดีผิดปกติแม้ว่าจะต้องติดไฟแดงอยู่สักหน่อย ก็อย่างเคยแหละน่า ชีวิตคนกรุงเทพ... วันไหนที่ไม่ต้องเผชิญกับไฟแดงนั่นต่างหากล่ะเรื่องแปลก
08 : 25 น.
เจ้าของร่างสูงสมส่วนบนมอเตอร์ไซค์คู่ชีพรีบคำนวณเวลาในใจ ยังไม่ทันแปดโมงครึ่ง นั่นหมายความว่าเขายังมีเวลาอีกชั่วโมงครึ่งในการขับรถไปให้ถึงกองบัญชาการ และถ้าโชคเข้าข้าง อาจจะมีเวลาเหลือพอให้พักละเลียดกาแฟฟรีจากสวัสดิการกรมตำรวจช้าๆ พลางเหล่บรรดาแม่ค้าผลไม้และลูกชิ้นทอดตามรถเข็นหน้าที่ทำงานได้อีกด้วย
อะไรจะสุขได้ขนาดนี้
โชติวุฒิเป็นนายตำรวจหนุ่มอนาคตไกล เพียงอายุไม่ถึงสามสิบเขาก็ก้าวมาสู่ตำแหน่งพันตรี และยังแว่วๆ มาว่าภายในสองปีนี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด เขาก็น่าจะได้ปรับขึ้นขั้นเงินเดือนอีกขั้นสองขั้น
แต่ไอ้ “อะไร” ที่ว่า ก็ดันจะมามีเรื่องเอาเสียได้
นับจากจบจากโรงเรียนนายร้อย โชติวุฒิหรือผู้หมวดนัทก็บรรจุเข้าทำงานในสน.เล็กๆ ย่านพหลโยธิน จนเมื่อผลงานเข้าตา จากร้อยตรีเป็นร้อยโทและร้อยเอก ในที่สุดเขาก็ได้มากินตำแหน่งพร้อมกับเงินเดือนสองหมื่นเหนาะๆ ที่เจ้าตัวคิดว่าน่าจะเพียงพอสำหรับชีวิตโสดที่กองบัญชาการปราบปราม ภายใต้ตราตำรวจพื้นน้ำเงินกรอบเหลืองอย่างเต็มภาคภูมิ
ผลงานของโชติวุฒิเรียกได้ว่าเข้าตาเจ้านายมาโดยตลอด เรียกได้ว่าทั้งงานลุยหรืองานเอกสารสำนวนคดีไม่เคยขาดตกบกพร่อง เป็นที่ถูกอกถูกใจกันจนเป็นที่เลื่องลือประจำกรม
จนกระทั่งเจ้านายคนเก่าเกษียณราชการ เป็นจุดกำเนิดให้สารวัตรหนุ่มต้องเปลี่ยนนายอีกครั้ง
คราวนี้ผู้บัญชาการกองปราบฯ คนใหม่ เป็นรองผู้บัญชาการที่ทำเรื่องย้ายตัวเองกลับมาจากชายแดน ด้วยเหตุทนเสียงประท้วงเล็กๆ ของภรรยาและลูกสาววัยสิบเก้าเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยที่จังหวัดชายแดนใต้ไม่ไหว
แน่ละ... มีลูกสาวหน้าตาน่ารักอย่างนี้ อย่าว่าแต่พ่อเลย แม้แต่สารวัตรหนุ่มเองก็ไม่คิดต้านทานเช่นกัน
ด้วยความที่เคยเป็นคนเก่งคนโปรดของนายเก่า ทำให้นายตำรวจเผลอแสดงอาการ “จีบ” ลูกสาวนายอย่างออกหน้าออกตา โดยลืมคิดถึงยศบนบ่าและปืนพกที่เหน็บอยู่ข้างเอวรองผู้การคนเป็นพ่อไปเสียสนิท
หลังจากนั้น ท่านรองฯ ก็เฝ้าจับพฤติกรรมเขาอย่างใกล้ชิด แทบจะเป็นความหมั่นไส้ด้วยซ้ำ ทั้งกันท่าทั้งพูดขู่เป็นนัยๆ ว่าหากเขาแตะต้องลูกสาวท่าน .... ยศสารวัตรจะเหลือแค่จ่าในพริบตา
นายตำรวจหนุ่มเลยต้องเพลาๆ การหยอดคำหวานไปเสียบ้างเมื่ออยู่ต่อหน้านาย กระนั้นความประพฤติทุกขั้นทุกตอนของเขาก็ยังถูกจับตามองอย่างละเอียด เป็นต้นว่าถ้าวันนี้ตอกบัตรเข้าทำงานสายไปสักสิบนาที สารวัตรนัทจะถูก “เจริญพร” เสียขรม กว่าจะปล่อยให้กลับไปนั่งโต๊ะทำงานได้ตามปกติ
แล้วช่วงนี้เขาก็ดันมาสายเป็นสัปดาห์ที่สองติดๆ กันแล้วนี่สิ!
ไฟจราจรสีแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว สารวัตรนัทเตรียมเหยียดเท้าแตะคันเร่งรถ หมายมาดไว้ในใจว่าวันนี้จะเข้าไปตอกบัตรที่กองบัญชาการฯ ให้เช้ากว่าปกติเป็นเกียรติประวัติวงศ์ตระกูลสักวัน...
จักรยานยนต์คู่ใจแล่นออกจากสี่แยกไฟแดงช้าๆ ผ่านถนนพหลโยธินมุ่งหน้าตรงสู่ที่ทำงาน
สารวัตรนึกกระหยิ่มเจ้านายอยู่ในใจ ก่อนจะก้มหน้าลงมองนาฬิกาข้อมือ... ยังเช้าอยู่น่า
ขณะที่มือทั้งสองกระชับแฮนด์เพื่อเตรียมเร่งเครื่อง หางตาของสารวัตรก็เหลือบไปเห็นวัตถุอะไรบางอย่างสีขาวๆ กำลังพุ่งตรงมาด้วยความเร็วสูง
“เฮ้ย! อะไรวะ”
เสียงแตรรถดังสนั่นแสบแก้วหู ก่อนที่จู่ๆ รถยนต์ฮอนด้าสีขาวมันระยับจากเลนตรงข้ามจะแล่นสวนมาแล้วตีโค้งเข้ามากลับเลนดังเอี๊ยด ล้อยางสีดำเสียดกับพื้นถนนจนมองเห็นเป็นควันกรุ่นๆ คนเกือบถูกชนใจหายวาบ นี่มันใกล้มากชนิดเฉียดล้อรถเขาไปนิดเดียว... นิดเดียวเท่านั้น สารวัตรหนุ่มรีบแฉลบรถหลบลงข้างทางเพื่อความปลอดภัย
สิ่งแรกที่ทำหลังจากได้สติ คือเหลียวซ้ายมองขวาเผื่อจะมีรถคันไหนเคราะห์ร้ายเป็นผู้บาดเจ็บ โชคดีที่ถนนโล่งก็เลยไม่มีใครเป็นอันตราย มีแต่รถเบรกกันเต็มกึก คงจะมีแต่เขานี่แหละที่บังเอิญมาอยู่ใกล้รัศมีตีโค้งของไอ้ฮอนด้าคันนี้มากที่สุด เวรเอ๊ย
หูอื้อตาพร่าไปพอสมควร โชติวุฒิโมโหจนแทบอยากจะย้ายแผนกตัวเองมาเป็นจราจรเพื่อทำคดีนี้เองให้รู้แล้วรู้รอดตามวิสัยเลือดร้อนของตัวเอง มองจนสุดถนนแล้วไม่เห็นมีจราจรที่ไหนกล้าโผล่หัวมาดูแลสักคน มันน่า!
สองตาคมปลาบหันกลับไปมองอีกที เห็นท้ายรถสีขาวไวๆ สะท้อนแสงแดดอยู่ข้างหน้า คนขับขับรถปาดซ้ายขวา แถมยังขับเร็วจนน่าหวาดเสียว คนมองตามอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าจะมีคนที่ขับรถยนต์ธรรมดาๆ ได้บ้าระห่ำราวกับอยู่ในสนามแข่งเช่นนี้มาก่อนในโลก
มองจนตั้งสติได้แล้วสารวัตรประจำกองปราบก็รีบบิดกุญแจรถ ขับตามไอ้ฮอนด้าเผือกคันนั้นไปอย่างเร็ว!
******************************
มอเตอร์ไซค์ของสารวัตรสภาพกลางเก่ากลางใหม่ ด้วยเพราะเป็นรถจากสวัสดิการกรมตำรวจ นายตำรวจนักซิ่งนึกเสียดายที่วันนี้ไม่ได้เอารถของตัวเองมา ไม่อย่างนั้นได้ไล่กวดกันสนุกล่ะ
นัทถอนหายใจอย่างฉุนเฉียว นับตั้งแต่เขาเริ่มขับรถเป็นตอนอายุสิบห้า ทั้งเคยขับ เคยเห็นคนขับรถซิ่ง ขับปาดซ้ายป่ายขวารถคนอื่นมาก็หลายครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับ “คนไร้มารยาทบนท้องถนน” ที่สุด รถก็สภาพสวยดี ยังใหม่เอี่ยมอยู่แท้ๆ แต่ทำไมคนขับทำราวกับไม่รักษาของ
ท่าทางจะลูกเศรษฐี ไม่ก็ไอ้พวกเมายาม้าเสียล่ะมั้ง?
เขาสั่นศีรษะอย่างระอา ...พวกลูกคนรวยยังพอทน แต่ถ้าเสพยาด้วยนี่ไม่ไหวแน่ เห็นชัดๆ อยู่ว่าขืนปล่อยไปก็เป็นอันตรายกับสังคม
มือที่กระชับคันเร่งบิดหนักเข้าไปอีก เพื่อจะเตรียมกวดเจ้าของรถสีขาวไปโรงพัก
******************************
ภายในรถยนต์ฮอนด้าสีขาวคันเล็กเปิดเพลงดังกระหึ่มแต่คนเปิดแทบไม่ใส่ใจฟัง เพราะกำลังฝากสมาธิทั้งหมดไว้ที่คันเร่งและหน้าปัดนาฬิกาพกเรือนใหญ่ที่เจ้าตัวห้อยคอไว้แทนสร้อยสไตล์วินเทจ ตัวสร้อยร้อยขนนกและหินสีเล็กๆ สลับลายสวยในแบบที่ผู้ชายอื่นอาจไม่กล้าใส่ แต่ก็นั่นแหละ เขาเป็น “ผู้ชายธรรมดาๆ” แบบนั้นเสียเมื่อไหร่กัน.....
08 : 45 น.
คนหน้าสวยควักนาฬิกาห้อยคอแบบโบราณขึ้นมาดูเวลาแล้วสบถเสียงดัง รองเท้าหนังปลายแหลมมันวับขยี้แป้นคันเร่งอย่างขัดใจ มือหมุนพวงมาลัยแถ่ดๆ บังคับรถให้แฉลบเบียดเบนซ์สีดำที่ขับเกะกะให้ไปพ้นๆ ข้างทาง เข็มที่หน้าปัดวัดความเร็วตีกลับแล้วตีกลับอีกอย่างน่าหวาดเสียว ในขณะที่คนขับกลับไม่สนใจ ยังคงตั้งสมาธิอยู่กับการพาตัวเองไปให้ถึงที่หมายโดยทันเวลาโดยไม่ทันสังเกตว่ามีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นตีขนาบข้างมาตั้งแต่ตอนตีรถเข้าโค้งกลางถนนพหลโยธินเมื่อครู่
เหลือห้านาทีจะถึงเวลาที่นัดกันเอาไว้กับกองถ่าย หนุ่มหน้าสวยครางอย่างหมดหวังเมื่อเห็นสี่แยกไฟแดงอยู่ตรงหน้า โชคร้ายที่สัญญาณไฟฝั่งของเขาเสียพอดี แทนที่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเมื่อถึงเวลากลับแดงโร่ ราวกับจะยั่วโมโหหนุ่มผมยาวบนรถเสียอย่างนั้น
“ไม่ทันแล้วเนี่ย หมดกัน! แล้วถนนตั้งใหญ่ไม่มีจราจรดูแลเลยรึไง!”
ริมฝีปากสวยขมุบขมิบเป็นใจความว่า ‘เดี๋ยวปั๊ดพ่อด่าให้ราบ’ ก่อนจะกดแตรใส่รถมอเตอร์ไซค์คันหน้าเสียงดัง โทษฐานขับขวางหูขวางตา
ไอ้คนขับบนรถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ สีแดงหันขวับ หนุ่มหน้าหวานสะดุดไปนิดหนึ่งกับดวงตาคู่นั้นที่จ้องตอบมาราวสองสามวินาที แววตาคม... ดุ เหมือนอยากจะต่อว่าเรื่องมารยาทการใช้ถนนของเขา
ใครสนล่ะคุณ?
ยิ่งเมื่อเหลือบมองสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาก็ยักไหล่ ทำท่าจะเลิกสนใจพ่อหนุ่มมอเตอร์ไซค์สีแดงคันข้างๆ ...
ถึงแม้ว่าคนขับจะหล่อมากจนน่าเข้าไปจุ๊บแก้มสักฟอดก็เถอะ...
แต่ก็นั่นแหละ... ยังไงๆ วันนี้งานก็ต้องมาก่อน
ตากลมตวัดมองที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเหยียบเบรก เตรียมพุ่งออกไปข้างหน้าเต็มที่ กะเวลาแล้วว่า... ต้องทัน ถ้าขับด้วยความเร็วเกินร้อยยี่สิบนิดๆ ล่ะทันแน่
...อีกห้านาที
ร่างบางแอบเหลือบดูที่กระจกมองข้างแวบหนึ่ง นายมอเตอร์ไซค์คนนั้นก็เหมือนกับจะมองมาทางนี้เช่นกัน อันที่จริงเหมือนสายตาคู่นั้นจะจ้องมาตลอดเวลาเลยมากกว่า
รถฮอนด้าซีวิคสีขาวเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มพิกัดเพื่อเร่งให้ถึงจุดหมาย ทว่าทันทีที่เขาบังคับรถให้พุ่งไป ไอ้รถมอเตอร์ไซค์คันแดงก็แล่นปราดเข้ามาตัดหน้า คนขับอุทานเบาๆ แล้วกระทืบเบรกจนมิด อาการหยุดรถกะทันหันส่งผลให้ล้อรถแฉลบเป็นวงกลมดังเสียดแก้วหูเป็นรอบที่สองของวัน ความคิดหนึ่งที่แวบเข้ามาคือเขาต้องเอารถคันนี้ไปเข้าศูนย์เปลี่ยนยางใหม่มันให้หมดทั้งสี่ล้อโดยเร็วที่สุด เห็นทีจะต้องวานพี่โอ๊ต.....
ผลั่ก!!!
“โอ๊ย!”
สิ่งทื่หนุ่มหน้าสวยเจ้าของเรียนผมยาวหยักมองเห็นก่อนที่ศีรษะจะโขกกับกระจกรถ คือตราตำรวจสีน้ำตาลแดงพื้นขาว ประทับเด่นอยู่ด้านข้างรถ...
******************************
“โอ๊ย!”
ศีรษะเล็กเกือบจะโขกเข้ากับกระจกรถ ดีที่ยังเอาแขนบังไว้ทัน แต่ถึงกระนั้นแขนเล็ก ขาวก็ยังปรากฏรอยแดงเป็นปื้น ตากลมมองสำรวจตามท้องแขนตัวเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงมันจะกลายเป็นสีเขียวช้ำน่าเกลียดแน่ๆ
เวรกรรม! ดันจะมีคิวถ่ายแบบเอาตอนนี้เนี่ยนะ
มือขาวอีกข้างทุบคอนโซลรถอย่างโมโห อีกนิดจะทันแล้วเชียว!
นัยน์ตาสวยกะพริบถี่ๆ พลางควานหาแว่นดำที่กองสุมๆ กันอยู่ที่เบาะข้างๆ มาใส่ เผื่อจะมีนักข่าวหรือปาปารัซซี่ หรือพวกรายการทีวีโรคจิตมาถ่ายเขาตอนนี้ เมื่อมองผ่านแว่น หนุ่มหน้าหวานเห็นร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเป็นภาพเงาเลือนๆ สีดำกำลังเดินตรงเข้ามา แล้วยกมือเคาะกระจกรถ
“เปิดกระจกด้วยครับ นี่เจ้าหน้าที่”
ร่างนั้นขยับมายืนในมุมเดียวกับแสง ทำให้ศิลปินร่างเล็กมองเห็นใบหน้านั้นได้ถนัดตา นายมอเตอร์ไซค์คนนั้นนี่เอง กำลังชูตราตำรวจในกระเป๋าสตางค์หนังเพื่อบังคับให้เขาเปิดกระจกรถ
เมื่อมองจนทั่วแล้วว่าไม่มีกล้องใดๆ คอยแอบเก็บภาพเหตุการณ์น่าอายนี้ไว้ทำข่าว นิ้วเรียวก็ยอมกดเลื่อนกระจกลงนิดหนึ่ง แต่ยังไม่ยอมถอดแว่นตากันแดดสีเข้มพรางนัยน์ตา
“มีอะไรครับคุณจราจร?”
ไม่รู้เขารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าสีหน้าชาเฉยเหมือนรูปปั้นฤๅษีนั้นกระตุกหน่อยหนึ่ง นายตำรวจสอดตราไว้ในกระเป๋าหลังตามเดิมอย่างลวกๆ แล้วบอกเขาเสียงขุ่น
“ขอโทษ ผมเป็นสารวัตรสังกัดกองปราบ ไม่ใช่จราจร แต่ถ้าฝีมือคุณขับตอนรถกลางวันแสกๆ เป็นอย่างนี้ล่ะก็อย่าว่าแต่จราจรเลย แม้แต่พวกนายร้อยปีหนึ่งเขาก็รู้ ว่าคุณมันสมควรเข้าคุกดัดนิสัยสักเดือนสองเดือน”
“...ก็เรารีบ รีบมากๆ”
คนถูกว่าเถียงกลับ เน้นเสียงคำว่า ‘มาก’ เพื่อให้คนฟังเข้าใจว่าการไปถ่ายแบบให้ทันก่อนที่แสงจะหมดมัน “รีบมาก” ขนาดไหน แต่อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ใส่ใจ ถามต่อเสียงขรึม
“ขอดูใบอนุญาตขับขี่ด้วยครับ”
“ไม่ได้เอามา!”
“บัตรประจำตัวประชาชน?”
“หายตอนไปทัวร์ฯ เมื่อสัปดาห์ก่อน”
นายตำรวจยศพันตรีถึงกับถอนหายใจ “อย่างนั้นก็เชิญไปโรงพักครับ”
คนฟังถึงกับตาโต กระชากแว่นกันแดดทิ้งแล้วหันมามองขวับ “อะไรกัน!?”
“คุณฝ่าไฟแดง ขับรถโดยประมาท ไม่มีใบขับขี่ แถมยัง...” สารวัตรนัทเหลือบมองภายในรถ “...ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย นี่ยังไม่รวมความน่าจะเป็นว่าคุณใช้โทรศัพท์ระหว่างขับรถอีกนะครับ”
“จะบ้าเหรอ! ก็บอกอยู่ว่าเรารีบๆ” มือสวยควักสร้อยนาฬิกาออกมาดูอย่างโมโหปรี๊ด พยายามบังคับให้ตัวเองใจเย็นอย่างถึงที่สุด
“เอาอย่างนี้นะคุณกองปราบ ตอนนี้เรารีบมาก นายพอจะ...” หนุ่มหน้าสวยเอาผมทัดข้างหูแล้วกรีดกระเป๋าสตางค์ให้ดูธนบัตรสีม่วงและน้ำตาลที่อัดแน่นอยู่ในนั้น จราจรจำเป็นมองเขาอย่างงงๆ
“นายจะเอาเท่าไหร่ เร็วๆ เรารีบ”
“ติดสินบนเจ้าพนักงานอีกหนึ่งกระทงนะครับคุณ”
“โอ๊ย!” คนถูกปฏิเสธเข่นเขี้ยวกรอด “นี่เรากำลังพูดกับเจ้าพนักงานดีเด่นอยู่หรือไง”
“ยังครับ แต่ก็เกือบๆ”
ใบหน้าขรึมดุผุดรอยยิ้มมุมปากขึ้นมาหน่อยหนึ่ง จังหวะเดียวกับที่นัยน์ตากลมเงยขึ้นมาสบพอดี ร่างบางชะงัก ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นเร็วขึ้นมา... นิดหนึ่ง
“ขอเชิญคุณไปเสียค่าปรับที่โรงพักครับ”
สารวัตรหนุ่มกลับมาตีหน้าดุทำเสียงดุ คนหน้าสวยกลอกตา โมเม้นต์สวยงามเมื่อครู่สลายวับ
“คุณตำรวจ ฟังนะ เรื่องแค่นี้เอง ทำลืมๆ ไปซะก็สิ้นเรื่อง—“
คนตัวเล็กเปลี่ยนมาเกลี้ยกล่อมแต่ยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือตัวเองดังขึ้นพอดี เสียงใสหันไปเอ็ดสารวัตรหนุ่มที่อ้าปากเหมือนอยากจะอบรมอะไรเขาอีกสักกระบุง
“นี่ ขอเรารับโทรศัพท์ก่อน อย่าเพิ่งพูด!” ว่าแล้วก็สูดลมหายใจเฮือกแล้วกดรับสาย “...ครับ พี่นิดเหรอครับ ผมใกล้ถึงแล้ว พอดีเกิดอุบัติเหตุนิดเดียว ครับ... ทันแน่ครับ”
เหมือนว่าปลายสายอีกด้านจะพูดอะไรตอบมา นัทเห็นหนุ่มผมยาวกุมขมับ ทำปากเบ้ แต่ก็ยังคุมเสียงให้ตอบกลับไปเป็นปกติ
“ซินผิดเองครับ ขอโทษนะครับ ครับพี่นิด... สวัสดีครับ”
พูดจบก็รีบกดตัดสาย นิ้วเล็กๆ ของคู่กรณีที่สารวัตรโชติวุฒิเพิ่งรู้ว่าชื่อ “ซิน” โยนไอโฟนสีขาวกรอบใสทิ้งบนเบาะรถข้างๆ อย่างเร็วเหมือนรู้สึกแสยงกับการคุยเมื่อครู่ยังไม่หาย
ซินเหรอ... นายตำรวจขมวดคิ้วบางๆ ...คุ้นๆ หรือเปล่าหว่า
ไม่ทันจะคิดออก ศิลปินร่างเล็กก็หันมายิ้มร่าใส่เขา แล้วเสียบกุญแจกริ๊กเตรียมสตาร์ทรถหนี ดีว่าอีกฝ่ายอาศัยความไวกว่าโต้ตอบด้วยการฉวยกุญแจรถทั้งพวงมาถือไว้เอง
ลูกปัดกับขนนกเนี่ยนะ! นัทแทบจะร้องออกมา ผู้ชายประเภทไหนเนี่ยที่ใช้พวงกุญแจแบบนี้
“ทำอะไร เอามา!”
“คุณหนีการจับกุมครับ ผมเพียงแต่ป้องกันคดี” ร่างสูงตอบหน้าตาย ซินเห็นแล้วอยากจะเปิดประตูรถลงไปกระทืบเท้าสักอั้ก “ผมไม่สนหรอกนะว่าคุณจะรีบแค่ไหน เอาเป็นว่าไปโรงพักกับผม แล้วทีนี้คุณจะรีบจะตายยังไงก็เชิญ”
“จะขูดเงินกันสินะ?” แขนเรียวกอดอกหยั่งเชิง “ไม่ไหวเลยนะคุณตำรวจ จะเอาเท่าไหร่ ไหนล่ะใบสั่ง?”
เจอไม้นี้คนเป็นตำรวจถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ “นี่คุณ ผมเป็นกองปราบนะ ไม่มีใครบ้าพกใบสั่งติดมาหรอก แล้วผมก็ไม่ได้ต้องการเงินคุณด้วย ผมแค่อยากทำให้มันถูกกฎหมาย เข้าใจไหม!”
“โอ๊ยยย!” คนในรถทุบคอนโซลดังปังระบายความขัดใจ “เออ ยอมแพ้ จะไปไหนก็ไป ให้เราลงไปซ้อนมอเตอร์ไซค์นายมั้ย? จะได้รีบไปทำ ‘ให้มันถูกกฎหมาย’ สมใจคุณซะที!!”
ซินกระแทกเสียง นัทเพิ่งสังเกตว่าผู้ชายคนนี้มีเสียงที่ประหลาดดี... มันหวาน แล้วก็เบา แต่ฟ่อๆ เอาเรื่องเหมือนกันเวลาเจ้าตัวโมโหน่ะ
“ครับ!” เมื่อโดนตอกกลับมาด้วยน้ำเสียงยียวนเหมือนได้ใจ ศิลปินหน้าสวยก็รีบกลับลำใหม่ทันที “ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวรถเราโดนขูด คุณขับตามหลังเราไปนั่นแหละ ในรถมีจีพีเอส ไปเองได้ ไม่หลง แล้วก็ไม่คิดจะหนีด้วย เวรเอ๊ย! สายฉิบเลยตอนนี้ ไอ้....”
“ที่ สน.พหลโยธินนะคุณ!”
นัทตะโกนไล่หลัง ทำเมินกับเสียงพึมพำด่าที่ตามเข้ามาในรูหูเป็นขบวน
คำล่าสุดนี่อะไรนะ... ไอ้จราจรดีเด่นงั้นเหรอ?
******************************
กว่าจะถึงโรงพัก โชติวุฒิรู้สึกเหมือนกับว่าเจ้าของรถฮอนด้าซีวิคคันหน้าจงใจขับปาดหน้ารถคันโน้นคันนี้ต่อหน้าเขาให้วุ่นไปหมด นายตำรวจหนุ่มกลืนน้ำลายพลางบีบแตรเสียงลั่นเพื่อปรามความคะนองของหนุ่มหน้าสวย ...หน้าตาก็ดี ไม่สิ จัดว่าดีมากด้วยซ้ำ เป็นผู้ชายที่หน้าสวยคนหนึ่งเลยล่ะ เสียอย่างเดียวหัวดื้อ หนำซ้ำขี้โกง
ปากเสียอีกต่างหาก...
คนที่เจอกันครั้งแรกก็ล่อเข้าไปสี่ห้าข้อหา แถมยังจะยัดสินบนให้เขาอีก คนที่จู่ๆ ก็เข้ามาทักว่าเขาเป็นตำรวจจราจร...
จราจรเนี่ยนะ!?!
สารวัตรนัทที่เคยรู้สึกภาคภูมิในมงกุฎครอบดาวบนบ่าของตนเองมาตลอดถึงกับสะอึกไปครู่ใหญ่ ตั้งสติได้อีกทีก็กำลังโดนอีกฝ่ายสวนกลับมาฉอดๆ ทั้งเถียงทั้งดื้อ ไม่เข้าใจว่าพวกจ่าเขารับมือกับคนพวกนี้ได้อย่างไรทุกวัน
สน. ที่ว่าอยู่ตรงหน้าไปไม่กี่ร้อยเมตร เขาเงยขึ้นมองท้ายรถฮอนด้าเผือก ยังคิดๆ อยู่ว่าหากอีกฝ่ายแกล้งใช้มุกขับเลยไป เขาจะรีบกวดตามแล้วลากผมยาวๆ มาเสียค่าปรับแล้วบำเพ็ญประโยชน์สักเดือนให้เข็ด ดีว่ารถคันนั้นเปิดไฟเลี้ยวแล้วจอดที่หน้าป้ายสถานีพอดี นายตำรวจลอบยิ้มออกมาทางสายตา
เห็นท่าไอ้เผือกนี่เพิ่งจะถูกเจ้าของมันเปิดไฟเลี้ยวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ซื้อมาซะล่ะมั้ง!!
นัทดับเครื่องรถตามแล้วเดินประกบอีกฝ่ายติดๆ ราวกับคุมตัวผู้ต้องหาคดีข้ามชาติ จนคนขับรถผิดกกฎจราจรอดไม่ได้ต้องหันมากัด
“นี่คู้น! เราขับรถผิดนิดหน่อยนะ ไม่ได้ค้ายา! เดินไปห่างๆ เลย”
นายตำรวจกะพริบตาปริบๆ แต่ก็ยอมถอยออกมาสองสามก้าวเมื่อรับรู้ถึงระยะห่างที่ชิดเกินความจำเป็น ลมพัดมาวูบหนึ่ง โชติวุฒิได้กลิ่นหอมจางๆ เหมือนกลิ่นแชมพูที่ยัยเนม น้องสาวเขาใช้ประจำเปี๊ยบ นัยน์ตาดำตวัดขึ้นมองอย่างแปลกใจ เห็นอีกฝ่ายสะบัดผมยาวหยักแล้วคว้าแว่นตาดำขึ้นมาสวม เห็นแล้วมันรำคาญตายิกๆ
ก้าวแรกที่รองเท้าหนังสีน้ำตาลปลายแหลมแตะพื้นโรงพัก ทั้งตำรวจทั้งผู้ต้องหาพร้อมญาติๆ ในนั้นก็พร้อมใจกันเงียบกริบลงทันที นัทเดินตามมาอย่างแปลกใจแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถาม ความเงียบอย่างตกตะลึงก็แปรมาเป็นเสียงวี้ดว้าดจากเจ้าพนักงานสาวและคนอื่นๆ รอบโรงพัก ต่างย้ายจากเก้าอี้ตัวเองมารุมห้อมล้อมรอบคนผมยาวร่างเล็กที่มากับเขาเต็มไปหมด อีกคนเองก็ยิ้มเหมือนจะพอใจ แล้วบรรจงถอดแว่นตาดำออกให้บรรดาแฟนๆ ชมโฉมได้ถนัดเป็นเวลาห้านาที ก่อนจะสวมมันกลับเข้าไปใหม่แล้วหันซ้ายหันขวาเตรียมหาที่นั่ง เสียงนั้นโปรยบอกคนรอบข้างเบาๆ “วันนี้ทำผิดครับ มาเสียค่าปรับ รบกวนอย่าเพิ่งถ่ายรูปกันเลยนะครับ เดี๋ยวซินโดนดุ”
พูดจบก็ยิ้ม บรรดาแม่ยกจากไหนก็ไม่รู้ที่โชคดีได้ห้อมล้อมร่างเล็กๆ นั้นต่างหากันพยักหน้าเออออ กล้องมือถือที่ควักมาเตรียมพร้อมถูกเก็บหมดพรึ่บไม่มีเหลือ ซินโปรยยิ้มอีกครั้งแล้วผงกศีรษะคล้ายขอบคุณ
เท่านี้ก็น่าจะรอดจากข่าวพาดหัวไปได้อีกวัน
ในขณะอีกด้านหนึ่ง สารวัตรโชติวุฒิยังยืนเหวอ เขาคว้าแขนร้อยเวรสาวรุ่นน้องที่เคยสนิทกันสมัยจบใหม่ๆ มาเพื่อจะกระซิบถาม แต่ไม่ทันได้พูดอะไรนัทก็เป็นฝ่ายถูกถามเสียเอง ร้อยเวรสาวิตตรีทำเสียงตื่นเต้นแล้วรั้งแขนเสื้อเขาขึ้นๆ ลงๆ จนเครื่องแบบยับ ร่างสูงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พี่นัท พี่พามาได้ไงน่ะ!”
“อะไรนะ?”
“ก็พี่ซินไง คนนั้นน่ะนอกจากจะเป็นนักร้องที่ดังสุดๆ แล้วยังเป็นนายแบบอีกนะ” หญิงสาวทำท่าปลาบปลื้ม เห็นได้ชัดว่าต้องหลงกลมาเป็นแฟนคลับหนุ่มหน้าสวยคนนี้อีกคนแหงๆ “ โอ๊ยพี่นัท สาตื่นเต้น! นี่สาขอลายเซ็นเขาได้หรือเปล่า”
“น้อยๆ หน่อยเถอะ... แล้วหุ่นอย่างมนุษย์แคระเนี่ยนะนายแบบ?”
นัทโดนรุ่นน้องฟาดแขนดังป้าบ “แหม สมัยนี้เสื้อผ้าน่ารักๆ ที่ไม่ต้องเน้นความสูงแต่ใส่แล้วดูดีก็มีตั้งเยอะนี่คะพี่นัท แถมคอเล็กชั่นล่าสุดนี่มีเสื้อบางตัวที่พี่ซินเพ้นท์เองด้วย สวยมากๆ เลย”
ร่างสูงกลอกตา “งั้นก็ดูแลเขาหน่อยแล้วกัน จัดการเรียกเทปวิดีโอตรงถนนรัชดาตอนเวลาเก้าโมงนิดๆ มาดูแล้วปรับตามข้อหานั่นแหละ เร็วๆ เถอะ เห็นเขาบ่นพี่ว่าเขารีบมาก”
“พี่นัทเนี่ยเป็นผู้ชายที่โชคดีมากเลย รู้ตัวบ้างไหมเนี่ย”
ร้อยโทสาวิตตรีพึมพำแล้วเดินจากไปเรียกดูเทปวิดีโอ ทิ้งให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วงุนงงกับคำว่า
‘โชคดี’ ?
******************************
ภายในสองนาที สาวิตตรีก็เดินถือแฟ้มมาให้ สารวัตรกองปราบรีบลุกจากเก้าอี้มาคอยฟังข้อหา เผื่อว่าไอ้ที่เขาวานแม่ยกแกะเทปศิลปินตัวเองขับรถผิดกฎหมาย แล้วจะใช้เสน่ห์หว่านจนถูกปล่อยตัวไปอีก
“เป็นยังไงบ้างครับ”
“สรุปว่ายังไงครับ”
ทั้งซินและนัทถามขึ้นพร้อมกัน สาวิตตรียื่นใบสั่งของซินให้ตรงหน้า แล้วมีทีท่ากระอักกระอ่วน
“ของ... พี่ซิน ท.. ทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยบาทค่ะ”
นัทมองมือขาวๆ ล้วงกระเป๋าสตางค์ใบเดิมออกมานับแบงค์แล้ววางไว้บนโต๊ะ พลางชำเลืองนาฬิกาเป็นระยะ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งสองทำท่าจะลุก แต่เสียงหวั่นๆ ของสาวิตตรีก็รั้งเอาไว้เสียก่อน
“พี่นัท... เอ่อ สาวรัตรคะ?”
“อะไร”
“คือ...” ตำรวจหญิงมีสีหน้าไม่สบายใจ ก่อนจะกระซิบเสียงเบาแต่พอให้ได้ยินกันทั่วโต๊ะ “คือว่า... เจ้าพนักงานตรวจสอบเทปจราจรดูแล้วมีความเห็นว่า... ยังไงๆ ก็ต้องปรับผู้กระทำผิดให้ครบค่ะ”
“หืม?” สารวัตรโชติวุฒิขมวดคิ้วเพราะไม่เข้าใจ ส่วนซินเหมือนจะมีแววตาสนใจขึ้นมาภายใต้แว่นตากันแดดสีเข้ม
“คือ... อย่าโกรธสา เอ้อ... อย่าโกรธดิฉันนะคะสารวัตร แต่จากเทปแล้ว... สารวัตรเองก็ขับรถด้วยความเร็วเกินกำหนดเหมือนกัน”
พูดจบก็ไสกระดาษแผ่นน้อยไปตรงหน้า ร่างเล็กเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วปล่อยเสียง “คิ” ออกมาเบาๆ นัทมองรอยยิ้มที่มุมปากของอีกฝ่ายแล้วก็ให้รู้สึกเสียหน้าเล็กน้อย แต่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะมาโทษใครได้ ดังนั้นมือเรียวใหญ่เลยจำใจควักกระเป๋าออกมาจ่ายตามที่กำหนด แล้วอยู่เซ็นเอกสารต่ออีกสองสามแกร๊ก กำลังจะรีบขอตัวกลับ โทรศัพท์ของนักร้องผมยาวก็ดังขึ้นพอดี ใบหน้าสวยเบ้เล็กน้อยแล้วกดรับสาย
“ครับพี่โอ๊ต ซินขอโทษครับพี่ ตอนนี้พี่นิดเค้า-- “ เสียงหวานมีริ้วรอยความกังวล จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นแปลกใจ “เอ๊ะ... อ้าวเหรอครับ เลื่อนเป็นวันเสาร์ ดีเลยครับ เดี๋ยวรบกวนพี่โอ๊ตเอารถตู้มารับซินที่สน. พหลโยธินหน่อยนะครับ ไม่เอารถของบริษัทนะ น่า... เดี๋ยวเล่าให้ฟัง เรื่องมันยาวว” ซินเหล่ตามองนัทเล็กน้อย “คือตอนนี้ซินโดนสั่งคุมประพฤตินิดหน่อย โดนสั่งห้ามขับรถประมาณสัปดาห์นึง... ครับ ก็ต้องจอดไว้ที่สน.ก่อน แล้วค่อยมาเอาอีกทีวันพุธหน้าโน่น......”
ถึงตอนนี้มือเรียวรีบเอาโทรศัพท์ออกจากหูแล้วทำหน้ายู่เหมือนกลืนมะนาวลงไปทั้งลูก “...ครับ ซินขอโทษแล้วไง อย่าเพิ่งโวยวายน่า ยังไงๆ ตอนนี้ก็ว่างแล้วซินจะทำสปาเก็ตตี้เลี้ยงแล้วกัน ฮ่าๆ ครับๆ ได้ครับ”
“แฟนหรือไง?”
สารวัตรแค่นเสียงแซวอย่างหมั่นไส้ นักร้องหนุ่มหน้าสวยเลิกคิ้ว “...ผู้จัดการส่วนตัวน่าคุณ” จากนั้นก็กลับมาทำหน้าร่าเริง หันไปตีซี้ คุยจ้อกับสาวิตตรี
“งานถ่ายปกนิตยสารโดนเลื่อนเพราะช่างไฟป่วยนะครับ สงสัยส้มตำปูทำพิษ ฮ่าๆ โชคดีของซินเลยนะครับเนี่ย กำลังกลัวว่าจะไปสายพอดี”
“อย่างพี่ซินไปสายนิดๆ หน่อยๆ ไม่มีใครว่าหรอกค่า”
รับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย! ตำรวจกองปราบนึกประชดอย่างอารมณ์บูด พอตัวเองหมดภาระล่ะตีปีกร่าเริงเชียว!
09 : 45 น.
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ร่างบางเพียงแต่เหลือบมองชื่อคนโทรเข้าแล้วลุกพรวดขึ้น สายตาชำเลืองไปทางประตูกระจกใสของสถานีตำรวจแล้วหันมายิ้มแหยลาร้อยเวรหญิง
“รถตู้ซินมาแล้วครับ ไปก่อนนะครับ” ซินหันมายิ้มหวาน “ไปล่ะนะครับคุณกองปราบ ซินว่าเราคงได้เจอกันอีกเร็วๆ นี้”
“แล้วแต่บุญแต่กรรมเถอะ!”
สารวัตรหนุ่มกระแทกเสียง ร่างบางหันกลับมายักไหล่น่ารักแล้วพูดหน้าตาเฉย
“...ไปส่งที่รถหน่อยสิ”
******************************
“นี่คุณ วันนี้ที่โรงพัก เห็นเขาบอกว่าคุณเป็น--“
สารวัตรโชติวุฒิตัดสินใจชวนคุยระหว่างทางเดินไปที่จอดรถ ที่ซึ่งพี่โอ๊ตผู้จัดการส่วนตัวของซินใส่ยับมาเป็นชุดว่า ‘ฉันต้องหาที่จอดลับตาคนเว้ย หมดกัน ภาพลักษณ์ศิลปินที่ฉันบรรจงสร้าง แกนะแกไอ้ซิน... ไม่ต้องมายิ้มเลย! แม่ง เหนื่อยชิบ’
“เป็นนักร้อง นายแบบ แล้วก็อาร์ตไดเรกเตอร์ บางวันก็โค-โปรดิวเซอร์ด้วย”
ร่างบางบรรยายจ้อ แต่คนฟังรู้เรื่องแค่สองคำแรก
“ผมขอโทษ... แต่เกรงว่าผมจะไม่เคยตามผลงานคุณ”
“ไม่เอาน่า เพลงเราดังๆ ก็มีนะ เคยฟังเพลง ‘เบาเบา’ ไหม?”
นัทกะพริบตาสองปริบแล้วส่ายหัว
“เคยเห็นเราเป็นพรีเซ็นเตอร์แชมพูมั้ย? ยี่ห้อเรโนคินน่ะ”
“... ไม่เคย...”
“แล้วเคยเห็น....?”
“พอแล้วมั้ง ขอโทษนะ ผมว่าผมคงไม่ค่อยติดตามอะไรๆ บันเทิงสักเท่าไหร่”
"นี่สรุป... นายไม่รู้จักเรา?"
ร่างบางทวนคำเสียงสูง มือขาวสะบัดเกลี่ยปอยผมที่หล่นลงมาปรกแว่นกันแดดสีชาด้วยอาการเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
"เชื่อเขาเลย นี่ไปมุดหัวอยู่ไหนมาฮึคุณตำรวจ ที่แฟลตไม่มีทีวีรึไง?"
"มี แต่ผมไม่ดู ใครจะบ้าดารานักร้องอย่างคุณก็เอาเถอะ แต่ผมเป็นตำรวจ ไม่ใช่ผู้จัดการดารา ไม่มีหน้าที่ต้องจำว่าคนนั้นใครคนนี้ใคร"
"ตาย... ตาย..."
นักร้องหนุ่มหน้าสวยอุทานพลางใช้สองนิ้วคีบแว่นกันแดดออกจากดั้งจมูกและนำไปคาดไว้บนผม จากนั้นจึงยกยิ้มสวยที่นายตำรวจโชติวุฒิลงความเห็นอย่างไม่อคติสักนิดว่าเป็นรอยยิ้มของเทพบุตรในคราบนางฟ้าที่ยียวนที่สุดในโลก!
"งั้นจำหน้าเราไว้ด้วยนะ... คุณสารวัตร เราคงจะได้เจอกันอีกเร็วๆ นี้..."
ว่าแล้วก็หยิบเศษกระดาษในกระเป๋าเสื้อมาเซ็นหวัดๆ ก่อนจะส่งให้คนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม
"ทริณ?"
อ้าว ไหนว่าชื่อซินวะ??
คิ้วเรียวๆ ขมวดมุ่น "...ถึงจะเขียนแบบนี้ก็เถอะ อ่านว่าซินสิ ไม่เคยเรียนภาษาไทยเหรอ"
"คุณ... ซิน?"
เขาชักปลง ตัดสินใจเออออตาม จะเขียนอย่างไหนมันก็อ่านได้เหมือนกันแหละน่า
"อืม จำให้แม่นเลยนะ ...ซิน"
นายตำรวจชั้นพันตรีมองเศษกระดาษในมือที่มีลายเซ็นของ 'นักร้องดัง' ที่ตนไม่รู้จักวาดหวัดเต็มแผ่น
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เจ้าของร่างบางๆ กับเสื้อผ้าราคาแพงและผ้าพันคอพะรุงพะรังนั้นก็เดินตัวปลิวหายกลับเข้าไปในรถตู้ติดฟิล์มเสียแล้ว...
******************************
“พี่นัทคะ? พี่นัท”
“อะไรล่ะ จะมาใช้พี่ขอลายเซ็นไอ้นายแบบแคระนั่นอีกหรือไง เมื่อกี้ก็ได้ไปตั้งหลายแผ่นนี่”
“แหม! ไม่เห็นต้องว่าศิลปินของสายังนั้นเลย ปากร้ายจริงๆ สาแค่จะถามว่า จะสิบโมงแล้วพี่นัทไม่ไปตอกบัตรทำงานที่กองบัญชาการฯ เหรอคะ?”
“หืม?”
เขาทวนคำงงๆ ก่อนจะรีบคว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซค์บนโต๊ะอย่างนึกขึ้นได้
09 : 55 น.
บ้าฉิบ ดันมัวแต่ยุ่งกับการลากคอคุณชาย ‘ทริณ’ ที่อ่านว่าซินคนนั้นจนลืมไปเลยว่าวันนี้จะต้องเข้างานเช้า....
“สา! พี่ขอกาแฟสักแก้วสิ เฮ้ย! ไม่ทันแล้ว ไปก่อนนะ วันนี้พี่รีบว่ะ!!!”
เหลือเวลาอีกไม่ถึงห้านาทีในการบึ่งรถมอเตอร์ไซค์ฝ่าไฟแดงและสภาพการจราจรที่แสนรติดขัด เข้าไปตอกบัตรเข้าห้องประชุม
ไม่ถึงห้านาทีในการคิดข้อแก้ตัวกับ ‘นาย’ ถึงเรื่องมาทำงานสายเป็นครั้งที่สี่ติดกันในรอบสองสัปดาห์
บ้าเอ๊ย ...ทำไมชีวิตดียังงี้วะ!
ผลงานอื่นๆ ของ เล็กน้ำ(ไม่งอก) ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ เล็กน้ำ(ไม่งอก)
ความคิดเห็น